สวัสดีครับบทความนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก โดยการไปด้วยตัวเอง ศึกษาหาข้อมูลเอง ทุกอย่างล้วนทำด้วยตัวเอง สิ่งแรกที่ต้องคือการวางแพลน ว่าเราอยากไปที่ไหนของญี่ปุ่นให้ศึกษาหาข้อมูลเมืองที่ชอบ ฤดูการที่ชอบพอเราตัดสินใจได้แล้ว จะเป็นจุดเริ่มต้นการเขียนแพลน การเขียนแพลนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ อยู่ไกลกันมั้ย เดินทางยังไง และอื่นๆอีกเยอะ เอาเป็นว่าการวางแพลนไปญี่ปุ่นบทความหน้าผมจะมาอธิบายเป็นบทความแยกออกไป ส่วนบทความนี้จะเป็นการเล่าเรื่องการไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว

ทริปญี่ปุ่นของผมในครั้งนี้ผมเลือกเที่ยวในช่วงฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) เดินทางโดยสายการบิน Scoot ไฟท์บินของผมเป็นไฟท์ต่อเครื่อง เพราะผมอยู่โซนหาดใหญ่จำเป็นต้องบินไปที่ประเทศสิงคโปรก่อนแล้วต่อเครื่องไปโตเกียวเพราะที่หาดใหญ่ไม่มีไฟท์บินตรงไปโตเกียวเลย (หลายคนถามทำไมไม่บินตรง ผมจะอธิบายแบบนี้ถ้าผมเลือกสายการบินของไทยแล้วบินตรง ก็ไม่ต่างกันเพราะยังไงก็ต้องบินจากหาดใหญ่ไปกรุงเทพแล้วต่อเครื่องไปโตเกียวอยู่ดี)

วันแรกที่ถึงสนามบินนารีตะสิ่งแรกที่ผมทำคือการเปลี่ยนเสื้อผ้า ณ ตอนนั้นอากาศข้างนอกหนาวมากที่นารีตะ -5 -6 องศา หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับแพลนแรกของวันนี้ ไปกดเงินเย็น และแลก JR East Pass Tohoku 5 วันให้เรียบร้อยแล้วออกเดินทางทันที

ประสบการณ์แรกในญี่ปุ่นคือการนั่งรถไฟ JR หลังจากได้ได้ JR Pass จากเจ้าหน้าที่มาก็มายืนงงๆอยู่หน้าทางเข้าว่าจะเข้ายังไงใช่ทางนี้มั้ย สิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทางคนเดียวคือ ปาก ปากเรานี่แหละอะไรที่ไม่รู้ควรถามเจ้าหน้าที่หรือถามคนแถวๆนั้น เค้าพร้อมที่จะช่วยเหลือแน่นอน

แพลนแรกของผมคือการเดินทางไป Kawaguchiko เพื่อไปดู Fujisan ภูเขาไฟที่ใครมาญี่ปุ่นครั้งแรกก็ต้องไปเยือนให้เห็นกับตาสักครั้ง ผมเดินทางจากสนามบิน Narita ไปยังสถานีรถไฟ Shinjuku เพื่อเปลี่ยนเป็นสายไปยัง Otsuki แล้วซื้อตั๋วขึ้นรถไฟสาย Fujikyuko ไปยัง Kawaguchiko

เดินเข้ามาในสถานีรถไฟ Otsuki พอถึงจุดเปลี่ยนสายตรงนี้ให้เราซื้อตั๋วจากตู้ให้บริการ ใช้งานไม่ยากให้เตรียมเงินสดไว้ด้วยนะครับส่วนใหญ่จะใช้เงินสดในการซื้อ

รถไฟสาย Fuji ไป Kawaguchiko สีสันลวดลายน่ารักมากครับ เอ่ออีกอย่างเห็นแดดออกแบบนี้เอาจริงๆนะครับ อย่างหนาวเลย แดดออกใช่ว่าจะร้อนนะ

พอถึงสถานี Kawaguchiko ผมรีบเดินทางไปที่พักที่ผมจองไว้ผ่าน Agoda ครับ ระยะทางกับสถานีห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ก็เจออุปสรรค์จนได้ ผมเดินไปผิดที่ซึ่งชื่อใน Google map มันคล้ายกันมากต้องเดินย้อนกลับไปอีกรวมๆแล้ว ประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลากับการเดินหาที่พักไปประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ

ผมเข้าที่พักอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เก็บของเสร็จเตรียมพร้อมสำหรับวันนี้ในการออกไปถ่ายรูป ซึ่งตอนนั้นเวลาก็ประมาณ 15.00 น. แล้วอีกไม่นานก็จะมืดแล้ว

ผมเช่าจักรยานกับทางที่พักแล้ว ปั่นเล่นรอบทะเลสาบ Kawaguchiko เพลินๆ จนลืมถ่ายรูปไปเลย ที่นั้นอากาศดีมากจริงๆหนาวๆเย็นสบาย

ผมปั่นมาได้สักพักรู้สึกหิวเพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า เลยแวะ Lawson เป็นร้านสะดวกซื้อระดับพรีเมี่ยมของญี่ปุ่น มีทุกอย่างครบเทียบเท่า 7-11 เลย

หลังจากกินข้าวเสร็จก็พออิ่มท้อง ที่นี้มืดไวมากผมได้เริ่มถ่ายฟูจิซังตอนช่วง 17.30 น. การถ่ายต้องดัน ISO สูงมากบวกกับแสงมืดๆเย็น ได้ภาพมายังไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่ได้ภาพฟูจิซังตัวเต็มกลับมา

ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทผมปั่นจักรยานฝ่าลมหนาวไปยังทีพักระยะทางจากจุดนี้ห่างกัน 1 กิโลเมตร กว่าๆ อุณหภูมิเริ่มติดลบไปมากกว่าเดิม มือไม้ปากสั่นเริ่มแข็งแล้วก็ขยับไม่ได้ คงเกิดจากร่างกายยังไม่ปรับตัว

หลังจากผมกลับที่พักป้าเจ้าของที่พักบอกกับผมว่า คืนนี้ญี่ปุ่นมีจุดพลุช่วง 20.00 – 20.20 น. เทศกาล 2023 Fujisan Kawaguchiko Winter Flower Festival นะที่สะพานใกล้ๆโรงแรม ไปดูพลุได้

ได้ยินแบบนั้นแล้วก็คงพลาดไม่ได้เลยรีบไปกันเลย ผมไปเกือบไม่ทันพลุจุดไปได้ประมาณ 3-4 นาทีแล้ว อุปกรณ์ก็ไม่ได้เตรียมมา เลยใช้แค่ iPhone ถ่ายก็จะได้ภาพประมาณข้างบน ใบนี้คือดูดีสุดละนอกนั้นพลุไม่สวย 5555

เช้าของอีกวันเป็นวันที่ผมต้องย้ายที่นอนไปนอนในโตเกียว แล้วก็จะเป็นแพลนสุดท้ายที่อยู่ที่คาวากุจิโกะ วันนี้ผมออกจากที่พักตี 4 เพื่อเดินไปที่สถานี Kawaguchiko ไปถึงสถานียังมืดก็เลยแวะ Lawson หาอะไรกินรองท้องก่อน อากาศที่นั้นติดลลบ 4 ลบ 5 องศา อยากจะบอกว่าถุงมือนี่สำคัญมากๆ ถ้าไม่ใส่จะหนาวจนทนไม่ไหว

กินเสร็จแสงเริ่มมีเลยออกมาตั้งกล้องถ่าย Fujisan ภาพหน้าสถานี Kawaguchiko ช่วงเช้ามืด มาเพื่อมาถ่าย Fujisan ในช่วงและนี่คือภาพที่ได้ ฟ้าเปิด มีแสงเช้ากระทบฟูจิเบาๆ เอาจริงๆถ้าได้มาดูด้วยตัวเองจะสวยมากกว่าในภาพ

หมู่บ้านน้ำใสวันที่ผมไปค่อนข้างเช้า ยังไม่ 09.00 น. ร้านค้ายังไม่เปิด ผมไปถ่ายภาพถ่ายวิวแล้วก็เดินทางกลับไปยัง Kawaguchiko ทันที ต้องทำเวลาเพราะเย็นนี้ต้องเดินทางกลับไปนอนที่โตเกียว

ถึงจุดนี้ผมก็ได้แต่มโนภาพว่าถ้ามาในช่วงใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วง จะสวยมาก

ผมกลับมายังสถานี Kawaguchiko อีกครั้งเพื่อเดินทางไปทะเลสาบคาวากุจิโกะ

แถวๆทะเลสาบคาวากุจิโกะ จะเป็นร้านอาหารและจุดชมวิวซะส่วนใหญ่ สำหรับเดินเล่นนั่งชิล

บริเวณทะเลสาบก็จะมี Car Food เป็นจุดๆ

ผมเดินซื้อตั๋วที่สถานีรถไฟ Kawaguchiko เพื่อเดินทางกลับไปยัง Otsuki แล้วใช้ JR Pass ไปยัง Shinjuku แล้วเปลี่ยนสายไป Ueno ที่พักผมอยู่ที่ Ueno เป็นการต่อรถไฟหลายต่อมาก

จะมีเรื่องเล่าอีกอย่างนึงคือก่อนที่ผมจะกลับโตเกียว ตามแพลนคือผมไป ถนนสายเก่าจะมองเห็น Fuji จากกลางถนน และวัดเจดีย์แดง ขอเรียกง่ายๆละกัน แต่ทั้ง 2 แพลนนี้ ที่ถนนเก่าไปมาแล้วไม่เห็น Fujisan น้องขี้อาย เมฆเยอะมาก ส่วนเจดีย์แดงก็เช่นกัน เมฆเยอะมากจนต้องล้มเลิกแล้วเปลี่ยนเป็นแพลนถัดไป อยากจะบอกว่าใครที่มาตามแพลนที่วางไว้ถ้าเจอปัญหาให้เราแก้ไขปัญหา แล้วข้ามมันไปเลยครับ ไม่ต้องไปรอเพราะไม่งั้นจะทำให้แพลนของเราเลสไปหมด จะทำให้แพลนที่วางมาพัง

บริเวณสถานีรถไฟ Otsuki เอ่อที่ญี่ปุ่นเท่าที่ผมสังเกตุตู้หยอดเหรียญกดน้ำอัตโนมัติจะมีอยู่ทุกสถานี หรือตามทางก็มี

แล้วก็กลับมาถึงโตเกียวเมืองแห่งความวุ่นวาย ก่อนที่ผมจะมา 5 แยกชิบุย่าผมไปเก็บกระเป๋าที่พักย่าน Ueno ก่อนแล้วเดินทางมายังชิบุยะ

สำหรับมื้อนี้ผมกินข้าวที่ชิบุยะ ผมเดินหาร้านปิ้งย่างที่เป็นเนื้อ A5 แล้วก็มาเจอร้านชื่อว่า Gyu-Kaku คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักผมเดินไปบังเอิญเจอเลยจัดไปเลย 1 มื้อ

จะบอกว่าอย่างฟินเลยครับ เนื้อนิ่มละลายในปากมากๆ แต่การย่างต้องย่างให้สุกพอดี ถ้าย่างสุกเกินไปก็จะแข็งนะ

เนื้อสมคำร่ำลือจริงๆที่เค้าว่ากันว่าใครที่มาญี่ปุ่นต้องมากินปิ้งย่างเนื้อ A5 อร่อยมาก แต่ขอติอย่างนึงคือน้ำจิ้ม น้ำจิ้มสำหรับผมมาว่าน้ำจิ้มไทยอร่อยกว่า ส่วนเนื้อให้ญี่ปุ่น

สำหรับวันนี้ผมเดินทางกลับไปยัง Ueno เป็นการกลับที่เกือบไม่ได้กลับเหมือนกัน ด้วยสถานที่และรอบรถทำให้เกือบตกรถจริงๆในโตเกียว และในบทความนี้จะเป็นบทความปิด EP1 ครั้งนี้ผมเดินทางไปครั้งแรกอาจจะเก็บภาพฟูจิซังมาได้ไม่เยอะ แต่รอบหน้าผมจะกลับไปอีกแน่นอน จะเน้นๆเฉพาะฟูจิโดยเฉพาะเลย

บทความ Chapter 2 คลิกได้ที่ลิงค์นี้ https://natdanai.me/tohoku-japan/